ชู้ลาว ชู้รส (Chulaos Churos) ร้านส้มตำคิวยาวที่เก้าอี้หน้าร้านไม่เคยเว้นว่างจากคนรอ ความเด็ดดวงของร้านนี้คือสูตรส้มตำสไตล์คนสะหวันนะเขต ประเทศลาว ที่ คุณปูเป้ สาวยโสธร และคุณแดง หนุ่มสะหวันนะเขต อยากให้ทุกคนมาลองความแซ่บด้วยตัวเองสักครั้ง เราชอบที่หน้าร้านสตรีทสุดๆ ขายด้วยราคากระเป๋าสตางค์ไม่แบน แต่เมนูต้องบอกว่าสวยเช้ง เพราะคุณแดงเป็นเฮดเชฟของร้านแถวทองหล่อมาก่อน เราเลยได้เห็นความสนุกแบบนี้ในจานด้วย มาถึงแล้วขอเริ่มที่ปลาร้าก่อน ตำชู้ลาว ตำปลาร้าที่ใช้นำปลาร้าต้มเองซึ่งหอมมาก เปลี่ยนจากเส้นมะละกอสับเล็กๆ มาเป็นมะละกอแผ่นใหญ่คล้ายตำหลวงพระบางแต่ไม่ใส่กะปิ กินแล้วได้ความกรอบจากเส้นมะละกอและน้ำปลาร้าแบบนัวๆ ต่อด้วย เนื้อพิคานย่าย่าง ย่างเตาถ่านแบบมีเดียมแรร์ หั่นมาสวยฉ่ำ ที่ร้านใช้เนื้อไทย-เฟรนช์เพราะกลิ่นเนื้อชัด ติดมันกำลังดีแต่ไม่ละลายเกิน กินคู่น้ำจิ้มแจ่วแล้วเคียงด้วยผักดองอย่างหัวไชเท้าและเปลือกแตงโม ใครชอบปลาดุก สั่งเลย ปลาดุกย่าง ปลาดุกอุยไซส์เบิ้มๆ เลาะก้าง หมักสมุนไพรข้ามคืนแล้วย่างด้วยเตาถ่านเช่นกัน กินคู่น้ำพริกปลาร้า 2 แบบคือน้ำพริกกระเทียมจี่ รสออกเผ็ดเค็ม และน้ำพริกหนุ่มลาวที่เผ็ดน้อยกว่าเข้ากันมาก ปิดท้ายด้วย ตำขนมจีนลาว ใช้เส้นขนมจีนส่งตรงจากหลวงพระบางที่เส้นจะหนึบกว่าเพราะใส่แป้งข้าวเหนียวเยอะ ตำใส่ปลาร้า ใส่หมูยอ แมงกะพรุน ผักลวก โรยกุ้งแห้ง ใส่ผักชีลาว ทุกอย่างเข้ากันไปหมด จานนี้ดีมาก ใครอยากกิน อดทนรอคิวหน่อย รับรองว่าไม่ผิดหวัง

“ลือชา โรตี” ร้านโรตีรุ่นเดอะ (50 ปี) จากเมืองหาดใหญ่ ที่ตอกย้ำตำแหน่งตัวตึงประจำวงการขนมหวานด้วยการเปิดสาขา 6 ในย่านบรรทัดทองสุดปัง (จุฬา ซอย 1) จุดเด่นที่ทำให้สายหวานปลื้มปลิ่มคือ รสชาติเข้มข้นที่ทำจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยมอย่าง การใช้เนยอย่างดีจากประเทศฝรั่งเศส ทอดด้วยน้ำมันมะพร้าวทรงคุณค่า ใบชาจนำเข้าจากประเทศศรีลังกา และที่โดนใจที่สุดคือทางร้านจะมีนมข้นหวานให้ลูกค้าเติมเองได้แบบไม่อั้น เมนูแรกอย่างไรก็ต้องเป็น โรตีเนยสดฝรั่งเศส เมนูไวรัลได้ใจสายหวานสุดๆ แป้งตีกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนยสดสัญชาติฝรั่งเศส เกรด Aop (ใช้ทำครัวซองต์) แถมทอดในนำมันมพร้าว กินคู่กับท็อปปิ้งต่างๆ ที่ครั้งนี้เราเลือกซอสสตรอว์เบอร์รีโฮมเมดรสเปรี้ยวอมหวาน และวานิลลาครีมสดปุกปุยครีมมี จิบคู่ ลือชา Signature ชาซีลอนดาวเด่นประจำร้าน ที่ทำจากชาชั้นดีจากประเทศศรีลังกา ชงกับนมสดพรีเมี่ยม รวมแล้วกลายเป็นรสเข้มข้นหอมมันยากจะลืมเลือน ต่อด้วย ชาปักษ์ใต้ ชาไทยที่ได้ความหอมละมุนของใบชาจากหาดใหญ่แบบเต็มพิกัด ใครเลี่ยนให้เปลี่ยนไปดื่ม ชาจีน ร้อนๆ กลิ่นหอมรสนุ่ม มาเป็นกาแบบเติมได้ไม่อั้น สมแล้วที่เป็นร้านในดวงใจคนรักของหวาน

Cheonman “ชอนมัน” ร้านแฮงก์เอาท์แนวสตรีทเกาหลี ขวัญใจหนุ่มสาวนิสิตนักศึกษาและคนทำงานในย่านบรรทัดทอง ตัวร้านน่ารักไซส์มินิ ด้านหน้าตั้งแสตนดี้หนุ่มหล่อกงยูที่ยืนส่งยิ้มเชื้อเชิญให้เราเข้ามาดื่มกิน แต่ถ้ามาช่วงปลายปีเลือกนั่งหน้าร้านรับลมหนาวชิลๆ ไปพร้อมกับจิบเครื่องดื่มเย็นๆ แล้วจินตนาการไปว่านั่งอยู่ริมทางกลางย่านฮงแด แหม...มันช่างดีต่อใจ ส่วนด้านในร้านก็คูลไปอีกแบบกับวอลล์เปเปอร์ภาพยามค่ำคืนในกรุงโซลที่เต็มไปด้วยแสงสี ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก แทบไม่อยากลุกกลับบ้าน แนะนำเมนูคู่จิ้นที่คนเกาหลีนิยมกินแกล้มเบียร์เย็นๆ อย่าง Cheonman Chicken ไก่ทอดเกาหลีที่เลือกเฉพาะเนื้อๆ ไม่มีกระดูกกวนใจ นำมาหมักซอสแล้วทอดร้อนๆ ได้รสเข้มข้นจากซอสผสานรสเค็มมันจากชีสเยิ้มๆ ด้านบน ต่อด้วย Jjukkumi จุกกุมิหรือปลาหมึกมาพร้อมหอยเชลล์นำเข้าจากเกาหลีผัดด้วยซอสชอนมันสูตรพิเศษ สมทบด้วยหมูสไลซ์และต๊อกปกกี ผัดแยกแล้วลองชิมรสชาติ ก่อนใส่ข้าวและสาหร่ายผัดต่อจนเข้ากัน โรยไข่กุ้ง เป็นอันจบกระบวนการ เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง กิมจิและผักสด รสชาติเดียวกับที่กินในเกาหลีเป๊ะ Original Jajangmyeon บะหมี่ผัดซอสดำ เส้นเหนียวนุ่มฉ่ำน้ำซอสเยิ้มๆ ปากเลอะแค่ไหนก็ยอม (มโนเอาว่าเป็นนางเอกซีรีส์ที่กินเลอะแค่ไหนก็น่ารัก) ถ้าไม่จุใจสั่ง ออมุกหรือโอเด้งเกาหลี กับซุปกิมจิหมูสามชั้น ที่เรายกให้เป็นเมนูเข้ากับฤดูหนาวมากที่สุด ก่อนจบด้วยแอปเปิ้ลโซดา เครื่องดื่มซาบซ่าล้างปากได้แบบสดชื่น อย่ารอช้า หยิบโทรศัพท์นัดเพื่อนมารวมตัวได้เลย!

แฮงก์เอาท์ชิคๆ แบบสตรีทฟู้ดเกาหลีต้องที่ Jinjjayo (ชินจาโย) ที่ยกเอาคอนเซ็ปต์ Korean Street Food มาให้สายตี้ได้กินดื่มสนุกๆ เคล้าเสียงเพลงกระหึ่มสไตล์ K-Pop และ Cover Dance ของเหล่าไอดอลที่ชื่นชอบ ไม่ต้องไปเกาหลีก็ได้ฟีลเดียวกัน เมนูจานเด็ดคัดมาเป็นพิเศษ อาทิ หม้อไฟบุเดจิเก รวมมิตรหม้อยักษ์ เอาตะเกียบคีบตรงไหนก็พบแต่ความอร่อย โดยเฉพาะน้ำซุปที่ปรุงรสเผ็ดร้อนนิดๆ ซดแล้วจี๊ดคล่องคอ เหมาะกับอากาศเย็นๆ ช่วงปลายปี หมูสามชั้นย่าง จากกรุงโซลถึงโซนลาดกระบัง อร่อยเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ทางร้านจะแล่หมูสามชั้นชิ้นพอดีคำ(โตๆ)แล้วย่างมาให้เสร็จสรรพ เนื้อนุ่มฉ่ำมีส่วนมันพอประมาณ คีบวางบนผักแล้วตามด้วยซอสปรุงรสที่มีให้เลือก 3 ชนิด แนะนำให้ลองทุกรสเพื่อค้นพบรสชาติที่ชอบ ส่วนเมนูหน้าตาเรียบๆ แต่ซ่อนความพิเศษไว้เพียบยกให้ ข้าวมันปูเกาหลี ข้าวนุ่มๆ ท็อปด้วยมันปูเนียนละมุน โรยงาขาวและต้นหอมซอย รสชาติกลมกล่อมหอมมัน แนะนำให้ห่อสาหร่ายก่อนส่งเข้าปาก จะเพิ่มรสเข้มข้นเค็มมันอีกเท่าตัว คิมบับไข่ แปลกใหม่ไม่เหมือนใครกับคิมบับไร้ข้าว ทางร้านนำสาหร่ายมาห่อไข่คำใหญ่ๆ เคี้ยวนุ่มไม่ต้องออกแรง ถูกปากจนอยากสั่งเพิ่มเรื่อยๆ ต่อด้วยเมนูสุดป๊อป กุ้งดองซีอิ้วเกาหลี กุ้งสดไร้กลิ่นคาว ได้รสเค็มหวานจากซีอิ๊วและรสเผ็ดจี๊ดจากพริกขี้หนู ถ้ายังไม่สะใจก็มีน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบไทยแท้มาให้เพิ่มรส อีกเมนูห้ามพลาดได้แก่หอยนางรมเกาหลี เสิร์ฟ 3 ตัวใหญ่ๆ ระดับความสดเหมือนเพิ่งยกขึ้นจากทะเล บีบเลมอนนิดแล้วราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ แนะนำให้เคี้ยวช้าๆ เพื่อให้ความสดชื่นอบอวลอยู่ในปากนานๆ ก่อนปิดจ๊อบด้วย ไก่ทอด 3 in 1 เสิร์ฟครบ 3 รสในจานเดียว ฟีลแบบนี้เหมือนนั่งอยู่ในเต๊นท์ที่เกาหลีจริงๆ

อาหารเวียดนามเริ่มได้รับความนิยมขึ้นอย่างไม่มีใครฉุดอยู่ ด้วยรสชาติที่เข้ากับรสนิยมคนไทย และเป็นมิตรกับชาวต่างชาติ อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยผักและสมุนไพรที่เหมาะสำหรับผู้คนที่มองหาอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งที่ร้าน Muine (มุยเน่) ณ บริเวณชั้น 2 ของ Habito Mall (ฮาบิโตะ มอลล์) คอมมูนิตี้ในซอยสุขุมวิท 77 ย่านอ่อนนุช ก็เป็นอีกพิกัดร้านอาหารเวียดนามที่ภูมิใจนำเสนออาหารสตรีทฟู้ดต้นตำรับ ในแบบฉบับที่มานั่งกินคนเดียวก็ได้ หรือพากลุ่มเพื่อน ครอบครัวมากินด้วยกันก็ดี   Muine (มุยเน่) ได้แรงบันดาลใจตรง ๆ มาจากเมืองมุยเน่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามที่มีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังอย่างทะเลทรายแดงเป็นไฮไลต์ประจำเมือง ซึ่งที่ร้านก็ได้นำจุดเด่นนี้มาเป็นส่วนหนึ่งของร้านอย่างที่เห็นได้ชัดเจนจากผนังสีแดง ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ที่ประดับประดาอยู่ทั่วทั้งร้าน เป็นตัวแทนของโอเอซิสกลางทะเลทราย เปรียบกับการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ ที่จะเป็นดั่งโอเอซิสด้วยบรรยากาศและเมนูสตรีทฟู้ดสูตรส่งตรงมาจากภาคใต้ของเวียดนาม     เริ่มต้นด้วยเมนู ขนมจีนแนมเนื้อง ที่ดัดแปลงมาจากแนมเนื้องหรือแหนมเนืองที่คนไทยคุ้นเคย โดยเปลี่ยนจากแผ่นแป้งเป็นเส้นขนมจีน เสิร์ฟพร้อมผักสด สมุนไพร ผักดองสไตล์เวียดนาม คลุกเคล้าด้วยน้ำยำเวียดนามรสชาติเปรี้ยวอมหวาน คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วกินพร้อมกับหมูปั้นรสชาติกลมกล่อมเสียบไม้ตามแบบฉบับแนมเนื้องแบบเวียดนามแท้ ๆ     ต่อมาก็เป็นเมนูที่มีเส้นขนมจีนเช่นกันคือ ขนมจีนเนื้อออสเตรเลียผัดซอสฮอยซิน ขนมจีนแห้งมาพร้อมเนื้อออสเตรเลียส่วนสันคอผัดกับซอสฮอยซิน ซึ่งเป็นซอสสไตล์เวียดนามที่นิยมกินกับเฝอ พร้อมกับหอมใหญ่ กระเทียม โรยหน้าด้วยน้ำจิ้มผักดองสไตล์เวียดนาม ที่ประกอบไปด้วยแครอทและหัวไชเท้าหั่นเป็นเส้น เลยมีชื่อเรียกเล่น ๆ กันว่า ‘จิ้มเส้น’ จานนี้เลือกกินคู่กับปอเปี๊ยะทอดไส้หมูสูตรเด็ดของทางร้านหรือไม่ก็ได้ แต่แนะนำว่ามาแล้วต้องลองให้ครบ     ต่อด้วยอีกเมนูสตรีทฟู้ดที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักอย่าง บั๋นหมี่หมูย่าง ขนมปังบาแกตต์เนื้อกรอบนอกนุ่มในตามสไตล์ขนมปังเวียดนามแท้ ๆ สอดไส้ด้วยผักสด ผักดอง และไฮไลต์อย่างหมูหมัก ที่ร้านใช้เวลาหมักข้ามคืนจนรสชาติเข้าเนื้อ แล้วนำไปย่างบนเตาถ่านลาวาจนได้กลิ่นหอมกรุ่น     ในเมนูเฝอเนื้อทั้งหมดที่มีในร้าน นอกจากเมนูเนื้อสไลด์ที่มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโคขุน เนื้อริบอาย และเนื้อแองกัส ยังมี เฝอเนื้อวากิว ที่พกพาเอาความพิเศษมาด้วย เพราะเป็นเนื้อตุ๋นสูตรพิเศษที่ร้านลงมือตุ๋นหลายชั่วโมงจนเนื้อนุ่ม พ่นไฟเพิ่มความหอมอีดนิดก่อนเสิร์ฟ ทำให้เฝอชามนี้มีรสชาติของน้ำตุ๋นเนื้อกลมกล่อมผสมผสานอยู่ด้วย     ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ Vietnamese Drip กาแฟดริปเวียดนาม มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น ผสมผสานไปด้วยเมล็ดกาแฟคั่ว 4 สายพันธุ์ ส่งตรงจากเวียดนาม หอมกลิ่นคั่วเข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ที่เข้ากันได้ดีมาก ๆ กับนมข้น ในแบบที่จิบแล้วคิดถึงประเทศเวียดนามอย่างแน่นอน     ส่วนเครื่องดื่มอีกแก้วหนึ่งคือ Trà Sen ชาดอกบัว เป็นตัวแทนสัญลักษณ์ดอกไม้ประจำประเทศเวียดนาม ให้รสชาติหวานหอมเบา ๆ เพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี     นอกจากจะได้อิ่มเอมไปกับอาหารสตรีทฟู้ดเวียดนามอย่างจุใจแล้ว ที่นี่ยังเปิดประตูต้อนรับเพื่อนรักสี่ขา ให้เข้าไปใช้ช่วงเวลาผ่อนคลายอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา อย่าลืมแวะทักทายเจ้าของร้านด้วยนะ    

มาอุดหนุนครั้งไหนก็ไม่ผิดหวัง ลูกชิ้นหมูแพร่งนรา ร้านลูกชิ้นใกล้ศาลเจ้าพ่อเสือของคุณปุ้ย เจ้าของร้านคนสวย (สวยจนได้ฉายา “ลูกชิ้นนางฟ้า” ) ความอร่อยของลูกชิ้นร้านนี้คือลูกชิ้นหมู 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ผสมแป้ง ไม่ใส่สารบอแรกซ์ ลูกเล็ก และมีเนื้อสัมผัสเฉพาะตัว เมื่อปิ้งแล้วผิวด้านนอกจะย่นนิดๆ แต่กัดแล้วจะเจอความชุ่มฉ่ำด้านใน คุณปุ้ย เล่าอย่างอารมณ์ดีว่าช่วยคุณแม่ขายลูกชิ้นมาตั้งแต่อายุ 14 จนถึงตอนนี้ร้านเปิดมาได้ 20 ปีพอดิบพอดี ที่ร้านขายเฉพาะลูกชิ้นหมู ราคาไม้ละ 10 บาท (มีแบบจัดชุด ชุดละ 10 ไม้เพื่อความรวดเร็ว) ปิ้งกันตั้งแต่เช้าจรดค่ำและมีลูกค้าประจำแวะมาไม่ขาด ส่วนน้ำจิ้มของที่ร้านบอกเด็ดไม่แพ้กัน ด้วยความที่คุณแม่ของคุณปุ้ยเป็นคน “มือหนัก” และ “จัดเต็ม” พริกและกระเทียมที่ใช้ทำน้ำจิ้มจึงใส่แบบไม่อั้น รสชาติเข้มข้นถูกใจจนลูกค้าทั้งใกล้-ไกลเรียกร้องให้ทำขายแบบขวดเผื่อซื้อขึ้นเครื่องไปต่างจังหวัด (ขวดละ 50 บาทเท่านั้น) นอกจากนี้ที่ร้านยังรับออกบูธตามงานต่างๆ อีกด้วย ลูกชิ้นอร่อยแบบนี้ต้องอุดหนุนกันไปยาวๆ     

เป็นอีกหนึ่งร้านเด็ดเมืองนนท์ ร้านลุงลูกชิ้น ตลาดประชานิเวศน์ 3 แค่ฟังชื่อร้านก็รู้แล้วว่าคุณลุงจง เป็นมือปิ้งลูกชิ้นไร้เทียมทาน ทุกเย็นเราจะเห็นคุณลุงสวมผ้ากันเปื้อนตัวเก่ง เตรียมจุดเตาถ่าน ก่อนเปิดร้านต้อนรับคนหิวตอน 5 โมงเย็น คุณลุงจงเล่าว่า เริ่มขายปลาหมึกย่างตั้งแต่ พศ.2524 จากนั้นเสริมด้วยลูกชิ้นและไส้กรอกให้ทุกคนกินได้จนถึงปัจจุบัน ลูกชิ้นในร้านของคุณลุงรับมาจากโรงงานเจ้าประจำที่ซื้อขายกันมาตั้งแต่ 40 ปี ทั้งลูกชิ้นกุ้ง ลูกชิ้นไก่ ไส้กรอกไก่ ลูกชิ้นปลา ไข่ปลาหมึก ฯลฯ เริ่มต้นไม้ละ 8 บาทที่ลุงจงบรรจงปิ้งอย่างใจเย็นทุกไม้ และที่มัดใจลูกค้าแบบอยู่หมัดคือน้ำจิ้มลูกชิ้นสูตรลับ (หลอกถามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ) เด็ดที่รสเผ็ดเปรี้ยวหวานเค็ม จนต้องทำใส่ขวดขายต่างหาก แถมรสชาติยังคงที่เพราะไม่เคยลดวัตถุดิบที่ใช้เลย นอกจากนี้ยังมีน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจี๊ดจ๊าดที่เข้ากับไข่ปลาหมึกสุดๆ ยิ่งผสมกันยิ่งทวีความเด็ดดวง ใครชอบหิวตอนดึกๆ ฝากท้องไว้ที่คุณลุงได้เลย

เป็น 1 ในร้านลูกชิ้นปิ้งขวัญใจคนบางลำพูมาอย่างยาวนาน สำหรับ ลูกชิ้นปิ้งธงชัย ของพี่ธงชัยและพี่วาสนาที่ประจำการหน้าร้านสเวนเซน ถนนรามบุตรี มานานกว่า 40 ปี น่าเสียดายที่ร้านนี้จะเปิดขายถึงแค่เดือนเมษายนปี 2566 เพราะถึงเวลาที่พี่ทั้ง 2 จะหยุดพักบ้างแล้ว สิ่งที่ทำให้ลูกชิ้นปิ้งธงชัยเป็นที่โปรดปรานคือ ลูกชิ้นแป้งน้อยที่ญาติๆ ทำกันเอง เลือกได้ทั้งลูกชิ้นเนื้อ ลูกชิ้นเอ็นเนื้อ ลูกชิ้นหมู และลูกชิ้นเอ็นหมู ลูกเล็กกำลังเคี้ยวเพลิน ขายไม้ละ 10 บาทเท่านั้น เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่วิธีปิ้งให้สุกด้วยเตาถ่าน สลับกับการชุบน้ำจิ้มไปด้วย (ปิ้งไปชุบไป) รอให้น้ำจิ้มค่อยๆ ซึมเข้าไปในลูกชิ้นทีละน้อย บอกเลยว่าเด็ดจริง ลูกชิ้นหมูว่าอร่อยแล้ว ลูกชิ้นเนื้ออร่อยยิ่งกว่า รสเค็มอ่อนๆ ตัดกับรสเผ็ดหวานของน้ำจิ้มได้พอดิบพอดี เอาเป็นว่า 5 ไม้ก็กินไม่พอ ขอ 10 ไม้ไปเลย

เมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่ฮอตสุดตอนนี้ คงต้องยกให้จังหวัดชลบุรี เพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึง ไม่เพียงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ยังมีสถานที่ฮิปๆ ให้ไปเช็คอินจำนวนมาก รวมถึงร้านอาหารและคาเฟ่เปิดใหม่ดีไซน์สวยที่ดึงดูดให้เหล่าคาเฟ่ฮอปปิ้งไปปักหมุดได้ไม่ซ้ำ แต่ถ้าถามหาสตรีทฟู้ดที่เป็นตำนานเบอร์ต้นๆ ของจังหวัด ต้องมีชื่อป้าอ่อนซอยก๊วนเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน ร้านป้าอ่อนเป็นบ้านไม้เก่า 2 ชั้น อยู่ตรงข้ามซอยท่าเรือพลี ขายอาหารตามสั่งโดยเน้นซีฟู้ดสดๆ ที่ยกให้เป็นพระเอกของทุกจาน ขึ้นชื่อว่าร้านดังคิวจึงยาวเหยียด แต่ก็ไม่น่าเบื่อเสียทีเดียว เพราะคุณพี่ในร้านจะเอาเมนูมาให้เลือกพลางๆ พอโต๊ะว่างนั่งไม่ทันหายเมื่อย อาหารที่สั่งไว้ก็ทยอยออกมาจนเต็มโต๊ะ เมนูที่เราจับจองไว้ในใจก่อนออกจากกรุงเทพฯ คือ กั้งกระเทียม ยอดขายนัมเบอร์วัน การันตีด้วยรีรีวิวเยอะมากจนอยากมาพิสูจน์รสชาติด้วยตัวเอง ทางร้านใช้กั้งแก้วตัวใหญ่ ผัดกับกระเทียมด้วยไฟแรง ผัดไม่นานก็ยกขึ้น กั้งเนื้อแน่นหนึบ เคี้ยวสู้ฟัน ปรุงออกรสเค็มนิดๆ และมีกลิ่นหอมของพริกไทยขึ้นจมูก ทีเด็ดยังอยู่ที่น้ำมันกระเทียมเจียวก้นจาน ตักมาคลุกเคล้ากับข้าวสวย เพื่อให้รสเค็มมันกระจายทั่วถึง เคี้ยวเพลินจนคำสุดท้าย ต่อด้วย กระเพราปู ผัดกระเพรารุ่นเก๋าที่ใส่ทั้งใบกระเพราและเนื้อปูมาให้จุใจ เอาช้อนตักตรงไหนก็เจอ  ปรุงรสชาติเผ็ดร้อนหอมกลิ่นกระทะ อีกจานคือผัดฉ่ารวมมิตร ยกขบวนซีฟู้ดมาครบครันทั้งกุ้ง หมึก กั้ง ปู หอยเชลล์ รสเผ็ดเค็มกำลังดี นอกจาก 3 เมนูสุดฮอตนี้ ยังมีจานเด็ดตามสั่ง อาทิ ผัดพริก ต้มยำ แกงจืด และข้าวผัดนานาชนิด  สั่งจานไหนก็ฟิน อิ่มพุงกางค่อยกลับบ้าน!

เยือนถิ่นพาหุรัด Little India ของกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้มีดีแค่อาหารอินเดีย เพราะคราวนี้เรามาลอง ‘ก๋วยเตี๋ยวพม่า’ สตรีทฟู้ดเจ้าเด็ดที่บอกได้เลยว่าหาไม่ยาก เพียงแค่เดินทะลุห้างอินเดียเอ็มโพเรียม เลี้ยวมาทางขวามือ ก็จะเห็นป้ายร้านก๋วยเตี๋ยวพม่าสีเหลืองเด่น เขียนเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจนจากภาพคนที่นั่งอยู่เต็มร้าน ก็พอจะการันตีถึงรสชาติได้คร่าว ๆ ว่าต้องมีอะไรดีอย่างแน่นอน ก๋วยเตี๋ยวพม่า อาจจะไม่ใช่เมนูก๋วยเตี๋ยวที่คุ้นหน้าคุ้นตาคนไทยเท่าไร แต่หลาย ๆ เมนูก็มีความคล้ายคลึงกับ ‘ข้าวแรมฟืน’ อาหารท้องถิ่นของชาวไทใหญ่และไทลื๊อทางภาคเหนือของประเทศไทยอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว เมนูแนะนำของร้านนั้นเริ่มต้นด้วย อั๊ปเปรี้ยว (Tohu Pyaw) ก๋วยเตี๋ยวที่มีจุดเด่นตรงแกงข้นหนืดเป็นแป้งสีเหลืองนุ่มนวลทำมาจากถั่วเหลือง ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว น้ำมันพริก โรยถั่วลิสง งา และผักชีตบท้าย หากเรียกให้ดูไทย เมนูนี้จะมีชื่อว่า ‘ข้าวแรมฟืนอุ่น’ วันดาบู้ (Wantohu) เนื้อแป้งของวันดาบู้นั้นมีสีเหลืองแบบเดียวกับเนื้อแป้งของอั๊ปเปรี้ยว ทำจากถั่วเช่นเดียวกัน แต่มาในรูปแบบที่แข็งแล้วตัดแบ่งเป็นเส้น ที่ไม่ใช่เส้นก๋วยเตี๋ยวยาว ๆ แต่มีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยม มาพร้อมน้ำขลุกขลิกรสเค็มและหวานผสมผสานกันเป็นอย่างดี ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว น้ำมันพริก ถั่วลิสง งา และผักชีโรยหน้าคล้าย ๆ กับอั๊ปเปรี้ยว แต่ให้รสชาติที่จัดจ้านชัดเจนกว่า จานสุดท้ายคือ ข้าวซอยแห้ง ที่ไม่ใช่ข้าวซอยที่คนไทยคุ้นเคยแต่อย่างใด ข้าวซอยแห้งในรูปแบบของก๋วยเตี๋ยวพม่าพาหุรัดนั้น มาพร้อมเส้นข้าวซอยที่ดูคล้ายเส้นเล็ก เสิร์ฟพร้อมแกงสไตล์พม่าเข้มข้นหอมกลิ่นสมุนไพร และกุ้งแห้ง เป็นอีกพิกัดของอร่อยในย่านพาหุรัดที่ต้องไปลองสักครั้งหนึ่ง